โจรสลัดในทะเลจีนใต้ และความท้าทายในการร่วมมือด้านความมั่นคงของอาเซียน
ภัยคุกคามจากโจรสลัดที่ได้รับความสนใจจากองค์กรระหว่างประเทศทางทะเลในปัจจุบันอีกแห่งหนึ่ง
คือบริเวณน่านน้ำทะเลจีนใต้ หรือ South China Sea ซึ่งครอบคลุมอาณาบริเวณของหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตั้งแต่สิงคโปร์ อ่าวไทย อินโดนิเซีย มาเลเซีย บรูไน เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์
พื้นที่ในทะเลจีนใต้นั้นมีความสำคัญเพราะเป็นเส้นทางขนส่งทางเรือที่มีเรื่อขนส่งผ่านคิดเป็นหนึ่งในสามของโลก
เนื่องจากเป็นน่านน้ำที่เป็นทางผ่านสู่ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ คือ จีน ญี่ปุ่น
และเกาหลีใต้ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า
ใต้พื้นทะเลมีน้ำมันและแก๊สธรรมชาติสำรองขนาดใหญ่จึงทำให้หลายประเทศพยายามที่จะมีกรรมสิทธิ์และเข้าครอบครองพื้นที่ในน่านน้ำทะเลจีนใต้
ความจริงแล้วหากกล่าวถึงทะเลจีนใต้
เรามักจะได้ยินถึงเรื่องราวของความขัดแย้งและข้อพิพาทในน่านน้ำที่ทับซ้อนกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันเอง
และระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศจีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหมู่เกาะแสปรตลีย์ (Spratlys) หรือที่จีนเรียกว่า
หนานชา (Nansha) และหมู่เกาะพาราเซลส์ (Paracels) หรือสี่ชา (Xisha) และหมู่เกาะปะการัง
แมคเคิลสฟิลด์ แบงก์ (Macclesfield
Bank) หรือที่จีนเรียก
จงชา (Zhongsha) ปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้เป็นจุดอ่อนสำคัญต่อการสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคของอาเซียน
และดูเหมือนว่าปัญหาดังกล่าวอาจไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่ายนัก
เพราะประเทศอาเซียนเองต่างไม่ยอมลงนามในข้อตกลงใดง่ายๆหากข้อตกลงนั้นอาจละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศตน
ข้อพิพาทเหนือดินแดนในน่านน้ำทะเลจีนใต้ยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศอาเซียนเองไม่สามารถร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาจากการคุกคามของโจรสลัดได้อย่างเป็นรูปธรรม
แต่กลับเป็นการแก้ปัญหาแบบต่างคนต่างทำ ยิ่งถ้าการคุกคามของโจรสลัดเกิดขึ้นในน่านน้ำที่ทับซ้อนกันด้วยแล้วยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นเนื่องจากไม่ชัดเจนว่าประเทศใดจะเป็นผู้เข้ามาแก้ปัญหาและบังคับใช้กฎหมายกันแน่
สำหรับปัญหาโจรสลัดในน่านน้ำทะเลจีนใต้
เริ่มมีการขยายตัวมากขึ้นภายหลังวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พ.ศ. 2540 จำนวนโจรสลัดที่มีการรายงานโดยองค์การเดินเรือทะเลระหว่างประเทศ
(International Maritime
Organization : IMO) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในปี พ.ศ.2552
สถิติการคุกคามจากโจรสลัดในน่านน้ำทะเลจีนใต้มีจำนวนทั้งสิ้น 71 ครั้ง ถือเป็นอันดับสองรองจากน่านน้ำโซมาเลีย
ในพ.ศ. 2553 อัตราการเกิดโจรสลัดสูงขี้นอย่างมากถึง 134 ครั้ง พ.ศ. 2554
เกิดโจรสลัดทั้งสิ้น 113 ครั้ง ถือว่าลดลงบ้าง
แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลขที่น่าพึงพอใจ และในปี พ.ศ. 2555
มีจำนวนโจรสลัดในน่านน้ำทะเลจีนใต้ทั้งสิ้น 135
ครั้ง และตั้งแต่ต้นปี 2556 ที่ผ่านมา เกิดโจรสลัดมาแล้วทั้งสิ้น 12 ครั้ง
โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในน่านน้ำทะเลจีนใต้ช่วงบริเวณประเทศอินโดนิเซีย
ทั้งนี้เพราะว่าบริเวณดังกล่าวมีเกาะแก่งจำนวนมากซึ่งง่ายต่อการซ่อนตัวและหลบหลีกการจับกุมของเจ้าหน้าที่
สาเหตุที่จำนวนโจรสลัดเพิ่มขึ้นในน่านน้ำทะเลจีนใต้อย่างต่อเนื่อง
เพราะ ความไม่ชัดเจน ไม่ครอบคลุมปัญหาด้านกฎหมายระหว่างประเทศ
ทำให้โจรสลัดอาศัยเป็นช่องว่างเพื่อออกปฏิบัติการอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงในปัจจุบัน
นอกจากนี้ความไม่ชัดเจนของกฎหมายทะเล
ในการให้นิยามโจรสลัดไว้เพียงในทะเลหลวงเท่านั้น ไม่รวมถึงทะเลอาณาเขตและบริเวณท่าเรือ
ทำให้ยิ่งเพิ่มความยากลำบากในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่
ประการที่สอง
คือการขาดการร่วมมือประสานงานอย่างแท้จริงระหว่างประเทศในภูมิภาค
ในการต่อต้านโจรสลัด
ทั้งนี้เนื่องจากประเทศในภูมิภาคอาเซียนเองมีพื้นที่ที่ทับซ้อนกันในทะเลจีนใต้
โดยเฉพาะบริเวณหมู่เกาะแสปรตลีย์
ดังนั้นในการลงนามข้อตกลงร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาโจรสลัดอย่างเป็นรูปธรรมจึงเกิดขึ้นได้ยากเพราะการลงนามในข้อตกลงใดๆอาจละเมิดอำนาจอธิปไตยทางทะเลของประเทศใดประเทศหนึ่ง
ประเทศอาเซียนให้ความสำคัญต่อการปกป้องอำนาจอธิปไตยในน่านน้ำของตนเองเป็นสำคัญมากกว่าที่จะยอมลงนามข้อตกลงร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาโจรสลัดร่วมกัน
ซึ่งถือเป็นการท้าทายอย่างยิ่งต่อการสร้างประชาคมอาเซียนในอนาคต
ประการที่สาม
ระบบการลงทะเบียนเรือเพื่อการค้าขาย
หรือให้เช่าเรือเพื่อการค้านั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ในปัจจุบันหากต้องการลงทะเบียนเรื่อขนส่งในน่านน้ำนานาชาติ ค่อนข้างทำได้ง่าย
เพียงแค่แฟ็กข้อมูลที่เกี่ยวกับเรือขนส่ง เช่น ขนาด น้ำหนัก ชื่อเรือ
ชื่อเจ้าของเรือ ก็สามารถลงทะเบียนได้แล้ว
โดยไม่ได้มีการตรวจสอบว่าข้อมูลดังกล่าวถูกต้องหรือไม่
ดังนั้นจึงเป็นช่องทางที่โจรสลัดสามารถเข้ายึดเรือ ลงทะเบียนใหม่โดยเปลี่ยนชื่อ
และข้อมูลของเรือขนส่งลำนั้น
ด้วยวิธีนี้โจรสลัดจึงสามารถหลบหลีกการจับกุมได้โดยง่าย
ประการสุดท้าย
ประเทศในอาเซียนเองยังขาดผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาโจรสลัด
รวมทั้งภัยคุกคามทางทะเลอื่นๆ นอกจากนี้ยังขาดเครื่องมือ
และยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยในการควบคุมและปราบปรามภัยทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นในการแก้ปัญหาโจรสลัดและปกป้องความมั่นคงในน่านน้ำของภูมิภาค
ประเทศอาเซียนจึงยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากประเทศมหาอำนาจ เช่นญี่ปุ่น
และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความจำเป็นต้องพึ่งพาเส้นทางเดินเรือนี้ทั้งในการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางและสินค้าเข้าออก
ได้รับผลกระทบอย่างมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
โดยเรือสินค้าญี่ปุ่นถูกจู่โจมกว่า 140 ครั้ง
ญี่ปุ่นจึงเป็นตัวตั้งตัวตีในความพยายามสร้างกลไกความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค
ทั้งยังส่งเรือรบและ เรือยามฝั่งเข้าลาดตระเวนในพื้นที่
อย่างไรก็ตามความพยายามในการปกป้องน่านน้ำของญี่ปุ่นนั้นยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง
จะเอาเรือรบเข้ามาราดตระเวนในภูมิภาคก็ทำไม่ไดง่ายนักเนื่องจากเกิดความหวาดระแวงจากประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคว่าญี่ปุ่นมีความมุ่งหวังอย่างอื่นหรือไม่ เช่น เมื่อญี่ปุ่นวางแผนส่งเรือลาดตระเวนป้องกันโจรสลัดบริเวณมหาสมุทรอินเดีย
มาเลเซียและฟิลิปปินส์ แต่ถูกปฏิเสธจากอินโดนีเซีย เป็นต้น
จากวิกฤตการณ์โจรสลัดที่นับวันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
องค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรจึงมีความพยายามที่จะป้องกัน
และลดสถิติการเกิดโจรสลัดในบริเวณทะเลจีนใต้
แม้ว่าประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีการรวมกลุ่มกันแบบย่อยๆ
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความมั่นคงในการป้องกันภัยคุกคามจากโจรสลัด อาทิเช่น
ในพ.ศ. 2546 มาเลเซียกับไทย
เริ่มความร่วมมือในการป้องกันภัยทางทะเลในน่านน้ำระหว่าง 2 ประเทศ ในปีถัดมา สิงคโปร์ มาเลเซียและอินโดนิเซีย
ริเริ่มข้อตกลง MALSINDO ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นนโยบาย the Eyes in the Sky เพื่อร่วมมือกันป้องกันภัยจากการคุกคามในน่านน้ำของ
3 ประเทศ
และฟิลิปปินส์เองก็ได้ร่วมมือกับมาเลเซีย และอินโดนิเซีย
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความมั่นคงในทะเล รวมทั้งแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการป้องกันภัยจากการคุกคามทางทะเล
แต่การรวมกลุ่มดังกล่าวดูเหมือนไม่สามารถลดจำนวนโจรสลัดในน่านน้ำได้อย่างจริงจัง
ความร่วมมือจากประเทศนอกกลุ่มจึงมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามปัญหาการขยายตัวของโจรสลัดในน่านน้ำทะเลจีนใต้
ในปี พ.ศ. 2547 ได้มีการจัดตั้ง
ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างภูมิภาคด้านการต่อต้านโจรสลัดและการปล้นสะดมภ์กองเรือในเอเชียหรือ(Regional Cooperation Agreement on
Combating Piracy and Armed Robbery against ships in Asia: ReCAAP) เป็นหน่วยงานกลุ่มความร่วมมือเพื่อแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงในทะเล
มีฐานปฏิบัติการในสิงคโปร์ และได้รับการสนับสนุนจาก 17 ประเทศในภูมิภาคเอเชียเพื่อแก้ไขปัญหาโจรสลัด
นอกจากนี้ยังส่งเสริมประสิทธิภาพของประเทศสมาชิกในการต่อต้านการคุกคามจากโจรสลัดอีกด้วย
หน่วยงานนี้ถือเป็นหน่วยงานความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก
แต่ประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศแม้จะให้ความร่วมมือกับ ReCAAP แต่ก็ยังไม่ยอมลงนามในข้อตกลงบางประการที่อาจเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นเข้ามาก้าวก่ายในกิจการภายในของประเทศตน
ภัยคุกคามจากกลุ่มโจรสลัดเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขโดยอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายเป็นสำคัญ
เพียงประเทศใดประเทศหนึ่งคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
สำหรับอาเซียนเองในอีกไม่นานนี้จะมีการเปิดประชาคมอาเซียน ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลักสำคัญ
สำหรับเสาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมนั้น
ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
แต่สำหรับเสาประชาคมการเมืองและความมั่นคงนั้น
ไม่ค่อยมีการพูดถึงหรือให้ความรู้กับประชาชนมากนัก
สาเหตุสำคัญที่เสาประชาคมการเมืองและความมั่นคง
ไม่สามารถเดินหน้าได้มากเท่ากับเสาด้านเศรษฐกิจและเสาด้านวัฒนธรรม
เนื่องจากข้อตกลงของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะไม่ละเมิดอำนาจอธิปไตยซึ่งกันและกัน
ดังนั้นข้อตกลงด้านความมั่นคง
รวมทั้งข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาโจรสลัดนั้นจึงไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
สมาชิกอาเซียนไม่ได้มีบทบาทมากนักในการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่
แต่กลับเป็นประเทศมหาอำนาจนอกกลุ่มที่เข้ามามีบทบาทในการป้องกันการรุกรานของโจรสลัดในน่านน้ำทะเลจีนใต้
จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าอาเซียนจะดำเนินการอย่างไรภายใต้ประชาคมการเมืองและความมั่นคงเพื่อการแก้ปัญหาโจรสลัดในน่านน้ำทะเลจีนใต้
และเพื่อสร้างความร่วมมือให้เกิดความมั่นคงและสงบสุขในภูมิภาคต่อไป
อยากให้มีการร่วมมือกันแบบนี้ทุกเรื่องเลยจะได้ไม่คอยแต่จะสร้างความตรึงเครียด
ที่มา มติชน
และ marinerthai
No comments:
Post a Comment